ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง
ณ
วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙
ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง (Angthong City Pillar
Shrine)
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ : ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัด ตำบลตลาดหลวง
อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง
ศาลหลักเมืองอ่างทอง
เป็นอาคารจตุรมุขทรงไทย ตัวศาลสูงจากพื้นประมาณ ๑.๕ เมตร มีประตูเข้า-ออก ทั้ง ๔
ด้าน ส่วนบนเป็นยอดปรางค์
หลังคา ๒ ชั้น เป็นปูนซีเมนต์ฉาบสีแดง
เสาหลักเมือง
ซึ่งประดิษฐานอยู่ในศาลหลักเมืองบนแท่นแปดเหลี่ยม พื้นปูด้วยหินอ่อน
เสาหลักเมืองทำจากไม้ชัยพฤกษ์ ซึ่งถือเป็นไม้มงคล คัดจาก ๑ ในจำนวน ๕ ต้น
ที่นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีลักษณะที่เรียกว่า
"ไม้ขานาง" คือลำต้นตรงขึ้นไปแล้วแยกเป็น ๒ กิ่ง
แบบง่ามหนังสติ๊กโบราณ ถือว่าเป็นไม้ที่เหมาะจะเป็นเสาโบสถ์ หรือเสาวิหาร ปลายยอดเสาหลักเมืองเป็นดอกบัวตูม
ไม้ชัยพฤกษ์อันถือเป็นไม้มงคล
ซึ่งนำมาทำเป็นเสาหลักเมืองของจังหวัดอ่างทองนั้น ได้ผ่านพิธีคัดเลือกต้นไม้
พิธีตัด พิธีอัญเชิญ พิธีกลึงเสา และฉลองรับขวัญอย่างถูกต้อง ตามพิธีหลวงของสำนักพระราชวังทุกประการ
เสาหลักเมืองนี้ได้รับการตกแต่งแกะสลักลงรักปิดทองจากพระครูวิเศษชัยวัฒน์
และนายกำจัด คงมีสุข ซึ่งเป็นชาวอ่างทอง
ด้านทิศเหนือของศาลหลักเมือง
มีศาลาตรีมุขซึ่งใช้เป็นที่ประทับ หรือที่นั่งขององค์ประธาน
หรือประธานในการประกอบพิธีต่างๆ ด้านทิศใต้ของศาลหลักเมือง มีศาลาทรงไทย ๒ หลัง
ใช้เป็นสถานที่ให้บริจาคบูชาวัตถุมงคล และดอกไม้ ธูป เทียน ด้านทิศใต้
มีศาลาเรือนไทย เป็นที่รวบรวมของดีเมืองอ่างทองมาจำหน่าย
ศาลหลักเมืองและศาลาตรีมุข
อยู่ห่างกันประมาณ ๓๐ เมตร เป็นลานกว้างใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม
และการแสดงต่างๆ บริเวณศาลหลักเมืองมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๑.๕ ไร่ จึงสามารถจัดทำสวนดอกไม้
สวนหย่อม และปลูกหญ้าได้สวยงาม
ศาลหลักเมืองเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่สถิตย์ของเทพารักษ์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง
ซึ่งปกปักษ์รักษาและปัดเป่าภัยพิบัติต่าง ๆ
เพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
การสร้างศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง
ได้มีพิธีการตัดไม้มงคลเพื่อนำมาเป็นเสาหลักเมือง มีการบวงสรวงก่อนตัดไม้มงคล
โดยโหรหลวงจากสำนักพระราชวัง ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทองเป็นศาลหลักเมืองแห่งที่
๒ ที่มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน
(ศาลหลักเมืองแห่งแรกที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังคือ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร) ภายในศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทองมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลาย
“พุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง” ที่สวยงามมาก
ศาลหลักเมืองอ่างทองเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สวยงามสมกับเป็นหลักชัยและหลักใจของประชาชนชาวอ่างทองอย่างยิ่ง
ภาพจิตรกรรมฝาผนังลาย “พุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง” ท้าววิรุฬหกราช ผู้ปกปักษ์รักษาประจำทิศใต้ ท้าวกุเวรราช ผู้ปกปักษ์รักษาประจำทิศเหนือ |
ภาพจิตรกรรมฝาผนังลาย “พุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง” ท้าววิรูปักษ์ราช ผู้ปกปักษ์รักษาทิศตะวันออก ท้าวธตรฐราช ผู้ปกปักษ์รักษาทิศตะวันตก |
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทองที่สวยงาม ซึ่งเป็นศาลหลักเมืองแห่งที่ ๒ ของประเทศไทยที่มีการวาดภาพจิตรกรรมนี้ |
ประวัติศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง
จังหวัดอ่างทอง
เป็นจังหวัดที่เก่าแก่จังหวัดหนึ่ง
จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานว่ามีชุมชนอาศัยอยู่แต่สมัยทวารวดี
แต่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในสมัย พระมหาธรรมราชา
เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๑๒๗ กล่าวถึงแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ
ตัวเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อยในสมัยกรุงธนบุรีได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ประมาณปีพุทธศักราช ๒๓๕๙ ได้ย้ายตัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง
มาตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงปัจจุบัน และได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอ่างทอง
พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาล มณฑลอยุธยา
ได้ให้ความเห็นไว้ว่าน่าจะมาจากชื่อ “บางทองคำ” และ “แม่น้ำประคำทอง” ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน
แต่ก็มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะเมืองตั้งอยู่ในที่ลุ่มมีลักษณะคล้ายอ่างและเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ
มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ จึงถือเป็นเมืองเงินเมืองทอง
จากประวัติศาสตร์ปรากฏว่าได้มีการย้ายที่ตั้งเมืองถึง
๓ ครั้ง แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด ว่าได้มีการสร้างศาลหลักเมืองไว้ ณ ที่ใด
จังหวัดอ่างทอง
ได้มอบให้นายกำจัด คงมีสุข ข้าราชการครูบำนาญ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านจิตรกรรม
ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมไทยเป็นผู้ออกแบบสร้างศาลหลักเมือง
และมีพระครูวิเศษชัยวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคลเป็นที่ปรึกษา
ดังนั้น
เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นมิ่งขวัญ เป็นหลักชัย
และหลักใจของประชาชนชาวจังหวัดอ่างทอง คณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน
จึงได้ร่วมกันจัดหาทุนสร้างศาลหลักเมืองขึ้นโดย สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระกรุณาเสด็จมาทรงเป็นประธานวางศิลาฤกษ์
เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๓
บัดนี้การก่อสร้างศาลหลักเมืองได้เสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นตัวอาคารจตุรมุข ยอดปรางค์
หลังคา ๒ ชั้น ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามศาลากลางจังหวัด ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง
องค์เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๔
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้ว่าราชการจังหวัด (นายทวีป
ทวีพาณิชย์) เข้าเฝ้าน้อมเกล้าฯ ถวายยอดเสาหลักเมืองเพื่อทรงเจิม ทรงพระสุหร่ายและทรงบรรจุแผ่นยันต์เมื่อวันที่
๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๔ เวลา ๑๖.๓๐ น. ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จแทนพระองค์ไปทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมืองและเปิดศาลหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๔
เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๔ เวลา ๑๕.๓๐ น.
สำหรับศาลหลักเมืองอ่างทอง
ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๓๔ เนื่องจากผ่านกาลเวลามายาวนานถึง
๒๑ ปี จึงมีสภาพชำรุดทรุดโทรม ทำให้ภายในศาลและภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง ๔ ด้านที่วิจิตรงดงามได้เกิดหลุดล่อน
และเสื่อมโทรมไปตามสภาพ ทางเทศบาลฯ จึงได้ทำพิธีบวงสรวงเพื่อบูรณะปรับปรุง
และซ่อมแซมองค์ศาลหลักเมืองขึ้นมาใหม่ให้มีความสวยงาม
สมกับเป็นหลักชัยและศูนย์รวมใจของคนทั้งจังหวัด ซึ่งต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า ๖
ล้านบาท และในวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายวิศว ศะศิสมิต
ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง
เป็นประธานในพิธีบวงสรวงศาลหลักเมืองอ่างทองเพื่อทำการบูรณะใหม่
เพื่อให้สวยงามดังเดิม
ความสวยงามโดยรอบอาคารของศาลหลักเมืองอ่างทอง |
ศาลหลักเมืองอ่างทอง เป็นอาคารจตุรมุข ตัวศาลสูงจากพื้นประมาณ ๑.๕ เมตร มีประตูเข้า-ออก ทั้ง ๔ ด้าน ส่วนบนเป็นยอดปรางค์ หลังคา ๒ ชั้นเป็นปูนซีเมนต์ฉาบสีแดง |
ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ : ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัด ตำบลตลาดหลวง อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น